หน้าหลัก
Home
ข้อมูลหน่วยงาน
About us
บุคลากร
Staff
การบริหารบุคคล
Personnel
ข่าวสาร
News
แผน
Planning
รายงาน
Report
ระเบียบ
Rules
บริการประชาชน
Service
 
หน้าหลัก
ITA
LPA
ประกาศจากระบบ e-GP
ประกาศจากระบบ e-GP ในเครือข่าย
องค์การบริหารส่วนตำบล ท่างาม ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุกกี้
ยอมรับ
นายฐิติพงศ์ ศักดิ์ชัยสมบูรณ์
นายกอบต.ท่างาม
" สร้างชุมชนให้เข้มแข็ง
เน้นพลังการมีส่วนร่วม"
ที่ทำการ อบต.ท่างาม
วัดกำแพงแหล่งศรัทธาประชาชน
ท่างามแหล่งรวมปูชนียสถานที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์
สถานศึกษาที่มีคุณภาพสำหรับเยาวชน
สถานีอนามัยประจำตำบลท่างาม
วิสัยทัศน์ อบต.ท่างาม
“ เป็นองค์กรส่งเสริม
การจัดสวัสดิการชุมชน
พัฒนาทักษะการทำงาน
พัฒนาคุณภาพชีวิต
พัฒนาตำบลสู่ตำบล
สุขภาวะตามวิถีพอเพียง ”
องค์การบริหารส่วนตำบลท่างาม
อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี
1
2
3
4
5
 
 
"รถคันแรก" ถ้าถูกยึด
(Jan.14) รัฐลอยตัว “รถคันแรก” ผู้ซื้อเตรียมตัว “ถูกยึด-จ่ายเพิ่ม” ลูกค้าเต็นท์มือ 2 รอคิวซื้อของถูก :

นักเศรษฐศาสตร์-นักธุรกิจค้ารถยนต์มือ 2 ชี้นโยบายรถคันแรก เตรียมพ่นพิษหลังเผชิญปัญหาปากท้อง ค่าใช้จ่ายบานปลาย แถมเบี้ยประกันภัย-ค่าทางด่วนปรับราคาขึ้น ปล่อยผู้ซื้อต้องแบกรับชะตากรรม ผ่อนไม่ไหวให้ไฟแนนซ์ยึด หากขายทอดตลาดได้ต่ำกว่ามูลหนี้ ผู้ซื้อต้องถูกไล่บี้อีกรอบ ส่วนเต็นท์รถ BB ย่านตลิ่งชัน ระบุปลายปีนี้รถยนต์คันแรกทยอยออกมาขายแน่ ยอมรับมีลูกค้ารอคิวอื้อ ด้านรัฐบาลรับเต็มๆ ทั้งคะแนนเสียง ดึงความเชื่อมั่นค่ายรถหลังเหลวเรื่องน้ำท่วมเมื่อปี 54 เผยรัฐใช้ 9 หมื่นล้านล่อ-แต่สร้างรายได้เข้ารัฐมากกว่าแสนล้าน

จบไปแล้วสำหรับโครงการรถคันแรกของรัฐบาลที่เริ่มตั้งแต่ 16 กันยายน 2554 ถึง 31 ธันวาคม 2555 ด้วยวัตถุประสงค์ “เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนที่ไม่เคยมีรถยนต์เป็นของตัวเองได้มีโอกาสซื้อรถยนต์ใหม่คันแรก ที่เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายขึ้น ในภาคอุตสาหกรรมจะส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมชิ้นส่วนให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงภาคธุรกิจประกันภัย และธุรกิจไฟแนนซ์ ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และเกิดการจ้างงานสร้างรายได้แก่ประชาชน และภาคธุรกิจเป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกัน ก็จะส่งผลให้ฐานะการคลังของประเทศมีความมั่นคงยิ่งขึ้น”

โครงการรถคันแรกเปิดโอกาสให้ผู้ที่ยังไม่เคยซื้อรถยนต์มาก่อนเข้าร่วมโครงการ โดยให้สิทธิประโยชน์ในการคืนเงินภาษีสรรพสามิตให้ไม่เกินรายละ 1 แสนบาท ด้วยข้อกำหนดราคารถไม่เกิน 1 ล้านบาท และขนาดของเครื่องยนต์ไม่เกิน 1500 ซีซีสำหรับรถเก๋ง และให้สิทธิกับรถกระบะและรถยนต์นั่งมีกระบะ (ดับเบิลแค็บ)

เดิมทีโครงการนี้ตั้งเป้าว่าจะมีผู้เข้าร่วมโครงการนี้ 5 แสนราย เตรียมเงินคืนภาษีให้ผู้ซื้อรถตามโครงการ 3 หมื่นล้านบาท แต่มีผู้ใช้สิทธิสูงเกินกว่าเป้าหมายมาก โดยกรมสรรพสามิตระบุว่ามีผู้มาขอใช้สิทธิ 1.25 ล้านราย คิดเป็นเงินภาษีที่ต้องคืนให้กับประชาชนราว 9 หมื่นล้านบาท โดยแยกเป็นรถยนต์นั่ง 7.39 แสนคัน รถกระบะ 2.58 แสนคัน รถยนต์นั่งที่มีกระบะ หรือดับเบิลแค็บ 2.57 แสนคัน

แม้โครงการดังกล่าวจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิชาการอย่างมาก เนื่องจากมองว่าไม่เกิดประโยชน์กับประเทศ สวนทางกับแนวทางการประหยัดพลังงานและเพิ่มปัญหารถติด เพราะถึงอย่างไรแม้ไม่มีโครงการนี้ออกมาประชาชนจำนวนไม่น้อยก็พร้อมจะซื้อรถยนต์อยู่ดี แต่รัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญกับเสียงท้วงติงเหล่านั้น เดินหน้าโครงการนี้มาจนเสร็จสิ้นโครงการ

นักเศรษฐศาสตร์ห่วงหนี้ครัวเรือน

ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า หากดูระหว่างมีโครงการรถคันแรกกับไม่มีโครงการนี้ ถ้าไม่มีโครงการนี้คนก็ซื้อรถเหมือนกัน แต่จะไม่ซื้อในปี 2555 แต่จะเป็นการซื้อตามปกติ เช่น อาจจะซื้อปี 2556 หรือ 2557 คนบางกลุ่มอาจไม่มีความจำเป็นต้องซื้อรถยนต์ แต่เมื่อมีนาทีทองขึ้นมาก็ใช้สิทธินั้น

โครงการนี้เป็นตัวเร่งให้คนเข้ามาซื้อมากขึ้น สิ่งที่จะตามมาคือความเป็นห่วงเรื่องหนี้ภาคครัวเรือนที่จะเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องการสวมสิทธิที่อาจถูกฟ้องร้องเป็นคดีความ ปัญหาสังคมก็จะตามมา ทำให้ระบบเสียไป

ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โครงการนี้เปลี่ยนจากการเก็บภาษีจากผู้ซื้อรถมาเป็นการเก็บภาษีกำไรจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องแทน เป็นเพียงแค่หลักการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศระยะสั้นเท่านั้น แม้ว่าภายในระยะเวลา 5 ปีรัฐจะได้เงินที่เสียไปคืนมา แต่ก็มีต้นทุนค่าเสียโอกาส เงิน 9 หมื่นล้านที่ต้องจ่ายไป สามารถนำมาสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานได้หลายโครงการ

ในช่วงแรกของโครงการยังไม่หวือหวา ส่วนหนึ่งเป็นผลจากเหตุน้ำท่วมใหญ่ แต่ในครึ่งปีหลังเริ่มมีผู้ใช้สิทธิมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีเรื่องของภาษีสรรพสามิตรถใหม่ที่เพิ่งออกมาเป็นตัวกระตุ้นให้คนเร่งตัดสินใจซื้ออีกทางหนึ่ง คนที่ซื้อเพราะอยากได้เงินคืนที่รัฐบาลสัญญาไว้ แต่เมื่อได้รถมาความสามารถในการชำระหนี้ของคนอาจจะลดลง ด้วยปัจจัยอื่นที่เข้ามากระทบ

“ตอนนี้ห่วงเศรษฐกิจไทยมากกว่าเดิม แม้ระยะนี้จะยังไม่มีสัญญาณที่ไม่ดีออกมา แต่ใน 5 ปีข้างหน้า ปัญหาจะเกิดจากปัจจัยในประเทศ”

5 ปีรัฐได้เกินทุน

แหล่งข่าวจากวงการรถยนต์ ประเมินโครงการรถคันแรกของรัฐบาลว่า ภายในระยะเวลา 5 ปีนั้น รัฐไม่ได้เสียเงิน 9 หมื่นล้านบาทไปฟรีๆ เพราะหากคิดเฉพาะรถคันแรกที่ 1.25 ล้านคัน เก็บภาษีสรรพสามิตจากการขายตามโครงการที่สิ้นสุดเมื่อเดือนธันวาคม 2555 ที่ 4.76 หมื่นล้านบาท

เมื่อรวมกับรถยนต์ที่ออกไปวิ่งตามท้องถนนที่ต้องเติมน้ำมัน คิดเฉลี่ยอย่างต่ำที่ 100 ลิตรต่อเดือนของกลุ่มที่เติมแก๊สโซฮอล์ 91 และดีเซลสำหรับรถกระบะ โดยใช้ราคาขายปลีกเมื่อ 11 มกราคม 2556 หักด้วยราคาหน้าโรงกลั่น เท่ากับเป็นรายได้ที่เข้ารัฐทั้งหมด แต่แยกไปตามส่วนต่างๆ ของโครงสร้างราคาน้ำมัน

5 ปีจากจำนวนทั้งหมด รถในโครงการจะมีเงินเข้ารัฐ 6.745 หมื่นล้านบาท เมื่อรวมกับภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากการขายรถ 4.76 หมื่นล้านบาท รัฐจะมีรายได้ใน 2 ส่วนนี้ถึง 1.15 แสนล้านบาท

นี่เป็นเพียงแค่คาดการณ์เบื้องต้นเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงใน 1 เดือนผู้ที่ใช้รถยนต์ส่วนใหญ่เติมน้ำมันมากกว่า 100 ลิตร หรือบางคนเลือกที่จะเติมแก๊สโซฮอล์ 95 นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ซื้อรถยนต์ในช่วงดังกล่าว แต่เป็นการซื้อตามปกติ ไม่ใช้สิทธิรถคันแรกอีกจำนวนไม่น้อย ดังนั้นรายได้ของรัฐทั้งจากภาษีสรรพสามิตและน้ำมันย่อมสูงกว่านี้

นอกจากนี้ ภาครัฐยังมีรายได้ในส่วนอื่นๆ ที่ตามมาอีก เช่น เรื่องการออกใบอนุญาตขับขี่สำหรับเจ้าของรถมือใหม่ มีค่า พ.ร.บ. และค่าต่อทะเบียน 5 ปี รัฐน่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท รวมไปถึงเรื่องภาษีของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ค่ายรถยนต์ บริษัทประกันภัยและบริษัทลีสซิ่ง

รถใหม่ค่าใช้จ่ายเพียบ

ผู้ให้คำปรึกษาทางการเงินรายหนึ่งกล่าวว่า ผู้ที่ซื้อรถยนต์ในโครงการรถคันแรกต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่รัฐกำหนดไว้ มิเช่นนั้นท่านต้องคืนสิทธินั้นให้กับรัฐ เมื่อซื้อรถมาย่อมมีค่าใช้จ่ายตามมาอีกหลายรายการ เริ่มที่การผ่อนชำระต่อเดือน แต่ละรายอาจมีเงื่อนไขต่างกัน ขึ้นอยู่กับจำนวนซีซี รถแต่ละรุ่น จำนวนเงินดาวน์ การผ่อนชำระและอัตราดอกเบี้ยของลีสซิ่งที่เลือกไว้ ในส่วนนี้จะมีค่าใช้จ่ายระหว่าง 6,500-12,000 บาทต่อเดือน

ตามมาด้วยค่าน้ำมันขึ้นอยู่กับการใช้งาน หากใช้แค่ 100 ลิตรต่อเดือน รายจ่ายจะอยู่ที่ 3,000-4,000 บาทขึ้นไป และยังมีรายจ่ายอื่นขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละบุคคล เช่น ค่าทางด่วน ค่าที่จอดรถ ค่าล้างรถ

ถัดมาจะเป็นค่าใช้จ่ายประจำปี มีค่า พ.ร.บ.และค่าต่อทะเบียนต้องเตรียมเงินไว้ตั้งแต่ 1,500-2,500 บาท หากเป็นรถนั่งที่มีกระบะตรงนี้จะเสียภาษีสูงกว่ารถเก๋งมากกว่า 2 เท่าตัว จากนั้นมีเรื่องของค่าประกันภัย หากเลือกต่อชั้น 1 ต้องมีเงินเตรียมไว้ 10,000-20,000 บาท ต่อมาเป็นค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง ซึ่งไม่จำเป็นต้องครบปี เช่น ทางศูนย์รถยนต์กำหนดไว้ในการตรวจอุปกรณ์ต่างๆ ตามจำนวนระยะทางที่กำหนด เช่น 5,000 กิโลเมตร หรือ 10,000 กิโลเมตร และส่วนใหญ่จะมีการเปลี่ยนอุปกรณ์ต่างๆ ครั้งใหญ่เมื่อครบ 4 ปี หรือประมาณ 20,000 กิโลเมตร

ค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่ตามมาหลังจากรถคันแรกนั้นต้องมีไม่ต่ำกว่า 10,000-20,000 บาทต่อเดือนนั้น ไม่นับรวมภาระประจำปีอื่นๆ อีก จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ที่เพิ่งเริ่มทำงานใหม่จะมีรถไว้ในครอบครอง เว้นแต่มีผู้ค้ำประกัน เช่น ผู้ปกครอง แต่ถ้ามีผู้ที่เพิ่งเริ่มทำงานแล้วใช้สิทธิซื้อรถคันแรก โอกาสที่จะถูกยึดรถก็มีความเป็นไปได้สูง

ล่าสุดเบี้ยประกันภัยจะมีการปรับเพิ่มขึ้นอีก 10% และค่าทางด่วนจะปรับเพิ่มขึ้นอีก 5 บาท

แม้ว่ารัฐบาลจะคืนเงินให้ตามข้อตกลงเมื่อครบ 1 ปีตามอัตราที่กำหนดไว้ไม่เกิน 100,000 บาท คำถามที่ตามมาคือท่านจะประคองตัวให้ครบได้ 1 ปีหรือไม่ นอกจากนั้นยังต้องกลับไปดูที่มาของเงินดาวน์รถไม่ว่าจะเป็น 15% 20% หรือ 25% นั้นมาอย่างไร หากเป็นการ * * * ้ยืมมาก่อนเพื่อรอเงินที่รัฐจ่ายคืนมานั้นถือเป็นการ * * * ้ที่ไม่คุ้มค่า เพราะต้องแบกรับทั้งดอกเบี้ยและต้องผ่อนชำระเงินต้นในส่วนนี้อีกจะทำให้การดำรงชีพในแต่ละเดือนลำบากมากขึ้น

“ยึดแน่” มากหรือน้อยเท่านั้น

ที่เรากล่าวมานั้นเป็นเพียงการมองแค่ด้านเดียว แต่ในชีวิตของมนุษย์จะมีเรื่องของค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในการดำรงชีพ เช่น ค่าเช่าบ้านหรือคอนโดมิเนียม ค่าอาหาร 3 มื้อ ค่าผ่อนบ้าน ค่าอาหารลูก ค่าประกันชีวิต เงินที่ใช้เลี้ยงดูบิดามารดา ค่าสังสรรค์ ค่าเสื้อผ้าและอื่นๆ อีก เมื่อนำเอาค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไปรวมกับค่าใช้จ่ายของรถคันแรกอาจทำให้เกิดปัญหาทางการเงินขึ้นมาได้

นอกจากนี้ท่ามกลางเศรษฐกิจและนโยบายของรัฐบาลปัจจุบัน มีความเสี่ยงทั้งในเรื่องเศรษฐกิจโลกผันผวน ใครที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงอย่างกลุ่มส่งออกอาจเสี่ยงต่อการถูกเลิกจ้าง หรือนโยบายของรัฐบาลที่ออกมาไม่ว่าจะเป็น 300 บาท หรือ 15,000 บาท บริษัทหรือองค์กรที่ท่านทำงานอยู่อาจประสบปัญหาถึงขั้นเลิกกิจการได้ รวมไปถึงค่าครองชีพที่สูงขึ้น ราคาอาหาร ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่แพงขึ้น ตรงนี้ท่านต้องทราบ

“ไม่มีใครตอบได้ว่าโอกาสที่ผู้ซื้อรถคันแรกจะถูกยึดคืนจากการผ่อนไม่ไหวจะเป็นเท่าไหร่ แต่ตอบได้เลยว่ามีคนที่ร่วมโครงการนี้ถูกบริษัทลีสซิ่งยึดแน่ จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง”

หันพึ่งบัตรเครดิต-สินเชื่อบุคคล

เมื่อรายจ่ายในชีวิตเริ่มสูงขึ้นทั้งจากราคาสินค้าที่แพง แถมมามีภาระเพิ่มเรื่องรถคนแรก ท่านต้องสำรวจตัวเองว่ารายได้ในปัจจุบันเพียงพอหรือไม่ หลายคนอาจแก้ปัญหานี้ด้วยการหันไปทำบัตรเครดิตทั้งชำระค่าน้ำมัน หรือซื้อข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เมื่อรายจ่ายเพิ่มขึ้นรายรับคงที่หรือเพิ่มขึ้นน้อยกว่ารายจ่าย ย่อมทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของท่านลดลง

ทางออกด้วยการผ่อนชำระบัตรเครดิตหรือใช้สินเชื่อบุคคลมาแก้ปัญหานี้ ถือเป็นแนวทางที่ผิด เพราะจะเป็นการเพิ่มพูนหนี้ให้เพิ่มมากขึ้นและกลายเป็นตัวเพิ่มภาระยิ่งกว่าเดิม

แค่ยึดรถยังไม่จบ

ลำดับต่อไปของผู้ที่ไม่สามารถผ่อนชำระต่อไปได้ ลีสซิ่งหรือบริษัทไฟแนนซ์ที่ปล่อย * * * ้ซื้อรถก็จะตามทวงหนี้ให้ชำระตามที่กำหนด เมื่อไม่สามารถชำระได้จากนั้นก็จะทำการยึดรถ

ไม่ใช่ว่าเมื่อยึดรถแล้วท่านจะหมดภาระทันที ท่านต้องคืนเงินที่ได้มาส่งคืนไปที่กรมสรรพสามิต จากนั้นลีสซิ่งต้องทำการขายรถออกไป หากได้ราคาที่ต่ำกว่ามูลหนี้คงค้างที่ท่านมี ส่วนต่างของราคาที่ขายไปกับมูลหนี้ที่ท่านมี ลีสซิ่งก็จะมาเรียกเก็บจากท่านอีก

ทั้งนี้ยังไม่นับว่าส่วนที่ท่านผิดนัดชำระหนี้ไปก่อนหน้านี้ รายชื่อของท่านจะถูกขึ้นบัญชีดำไว้ที่เครดิตบูโร ดังนั้นการทำธุรกรรมทางการเงินครั้งต่อไปของท่านย่อมมีปัญหา

สำหรับกรณีการสวมสิทธิ เชื่อว่ามีเป็นจำนวนมากที่ใช้ชื่อบุคคลอื่นเข้ามาซื้อ หากเกิดปัญหาขึ้นผู้ที่ให้ใช้ชื่อจะกลายเป็นผู้ที่ต้องรับภาระหนี้ที่เกิดขึ้น รวมไปถึงเรื่องของบัญชีดำที่ท่านต้องแบกรับไว้ด้วย
รอรถยึดปลุกเต็นท์มือ 2 คึก

ดาว ผู้จัดการเต็นท์รถเอื้องกล่าวว่า ที่ผ่านมาโครงการรถยนต์คันแรกมีผลต่อยอดขายรถยนต์มือ 2 มากน้อยแล้วแต่ราย ขึ้นอยู่กับวิธีการปรับตัวของเต็นท์แต่ละราย ในส่วนของเราไม่มีผลมากนัก แต่เต็นท์อื่นบ่นกันมาก

วิธีการปรับตัวของเต็นท์ต้องปรับราคาขายรถมือ 2 ลง ยอมลดลงมาจากเดิมกำไรราว 80% ตอนนี้ต้องปรับลงมาเหลือ 40% ก่อนหน้าที่จะมีโครงการนี้ รถที่นำมาขายเต็นท์ส่วนใหญ่จะใช้งานมาประมาณ 8 เดือนถึง 1 ปี บางรายก็ขายดาวน์ให้กับเต็นท์เหมือนกัน

เธอบอกต่อว่าปี 2555 และต้นปี 2556 รถในกลุ่ม 1500 ซีซี ขายยากเพราะจะไปชนกับโครงการรถคันแรก หลายคนจึงหันไปซื้อรถใหม่เพราะรัฐบาลคืนเงินให้ไม่เกิน 1 แสนบาท ส่วนใหญ่ตามเต็นท์ที่ขายได้มักจะเป็นรถที่มีซีซีสูงกว่านั้น

เมื่อสอบถามว่ารับซื้อรถตามโครงการรถคันแรกไว้บ้างหรือไม่ ได้รับคำตอบว่าตอนนี้ไม่มีใครกล้าซื้อรถในกลุ่มนี้เข้ามา เรียกว่าเกี่ยงกันซื้อจะดีกว่า เพราะเกรงเรื่องปัญหาการโอนชื่อที่กำหนดห้ามโอนใน 5 ปี เต็นท์ไหนที่มีรถประเภทนี้อยู่ต่างพยายามที่จะเร่งระบายรถออก

สอดคล้องกับสมพงษ์ ผู้จัดการเต็นท์ BB ย่านตลิ่งชัน กล่าวว่า ตอนนี้อาจจะยังไม่เห็นรถยนต์ตามโครงการรถคันแรกออกมาขาย แต่คาดว่าในปลายปี 2556 นี้คงจะเริ่มเห็นกัน แต่การรับซื้อนั้นมีขั้นตอนที่ยุ่งยากเนื่องจากติดขัดเรื่องการโอนชื่อ คาดว่าคงจะรอให้บริษัทไฟแนนซ์ยึดรถมาก่อนแล้วเปิดประมูลจึงจะเข้าไปซื้อ เพราะในส่วนนี้รัฐเปิดให้โอนชื่อได้

สำหรับราคารับซื้อรถจากโครงการรถคันแรก ผู้จัดการเต็นท์รถทั้ง 2 รายกล่าวตรงกันว่า จะต้องหักเงินที่ได้คืนจากสรรพสามิตออกไปก่อน เช่น รถ 6 แสนบาท หากได้รับเงินคืน 1 แสนบาทการตีราคารถจะอยู่ที่ 5 แสนบาท จากนั้นต้องดูสภาพว่าใช้มากี่ปี มีประวัติชนหรือไม่ ดูร่องรอยการซ่อม รวมถึงสภาพของเครื่องยนต์

มองกันว่าหากมีการยึดรถคันแรกแล้วปล่อยลงมาสู่เต้นท์รถมือ 2 มากขึ้น คาดว่าตลาดเต้นท์รถมือ 2 จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยที่รถซื้อรถมือ 2 ที่ถูกยึดจากโครงการรถคันแรก เพราะราคารถมือ 2 จะถูกลงกว่าเดิมอีกมาก

เพิ่มปัญหา-เพิ่มลูกค้าตำรวจ

ขณะที่นักวิชาการอีกรายกล่าวว่า จุดประสงค์ที่แท้จริงของโครงการรถคันแรกจะทำเพื่อประชาชนจริงหรือไม่ แต่ภายใต้โครงการเดียวกันมีผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงที่สุดคือรัฐบาล ได้ใจประชาชนเมือง สร้างบุญคุณติดตัวไปตลอดและมีผลบ้างต่อการเลือกตั้งครั้งต่อไป นอกจากนี้ยังจะเป็นการมัดใจค่ารถยนต์ที่ไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในช่วงที่เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่

โครงการนี้จึงเท่ากับเป็นการเร่งหาลูกค้าให้กับเจ้าของค่ายรถให้มากขึ้น โดยรัฐบาลเป็นโต้โผหลักและใช้เงินภาษีอากรของประเทศมาเป็นตัวเร่ง เห็นได้จากก่อนการปิดโครงการเมื่อ 31 ธันวาคมได้มีการปรับภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ออกมา โดยรถยนต์ขนาด 1,500 ซีซีขึ้นไป เพิ่มภาษีจาก 25% เป็น 35% เท่ากับใครที่จะซื้อรถขนาดดังกล่าวหลังจากพ้นโครงการนี้ราคาขายย่อมต้องปรับขึ้นอีกหลายหมื่นบาท ขณะที่รถอีโคคาร์(1,200 ซีซี)ได้ปรับภาษีลงจาก 17% เหลือ 14%

ผู้ประกอบการชิ้นส่วนรถยนต์ บริษัทประกันภัยและบริษัทลีสซิ่งย่อมได้รับผลบวกตามไปด้วย นอกจากนี้ยังเป็นการหาลูกค้าใหม่ให้กับ ปตท.และปั๊มน้ำมันรายอื่น ๆ ซึ่งรายได้จะกลับมาสู่ภาครัฐในที่สุด อีกทั้งรายได้จากกรมขนส่งทางบกทั้งการออกใบอนุญาตขับขี่ใหม่ การต่อ พ.ร.บ.ต่อทะเบียน

หากคิดในเชิงร้ายรถใหม่เหล่านี้ย่อมเป็นที่หมายตาของกลุ่มมิจฉาชีพอยู่ไม่น้อย จำนวนรถที่มากขึ้นโอกาสในการลักรถยนต์ก็มีมากขึ้น หรือเป็นการเพิ่มลูกค้าให้กับตำรวจจราจรมากขึ้น รถมากขึ้นโอกาสกระทำผิดย่อมมากขึ้น เอาแค่เฉพาะเรื่องการตรวจจับความเร็วเดือนหนึ่งก็สร้างรายได้ให้กับตำรวจจราจรได้มาก ด้วยกล้องตรวจจับความเร็วที่ลงทุนไป หรือโอกาสของการเกิดอุบัติเหตุและปัญหาการจราจรย่อมมีมากขึ้น

Source: ผู้จัดการออนไลน์
Link: http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9560000005307

เขียนโดย   คุณ คน เต้าข่าว
วันที่ 16 ม.ค. 2556 เวลา 06.29 น. [ IP : 125.26.127.158 ]
ยอดจองรถคันแรกถ้านำมาต่อแถวกันยาวถึงญี่ปุ่น

เขียนโดย   คุณ คน เต้าข่าว
วันที่ 24 ม.ค. 2556 เวลา 17.04 น. [ IP : 125.26.118.162 ]
รถใหม่ค่ากับใช้จ่ายที่ตามมา

ผู้ให้คำปรึกษาทางการเงินรายหนึ่งกล่าวว่า ผู้ที่ซื้อรถยนต์ในโครงการรถคันแรกต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่รัฐกำหนดไว้ มิเช่นนั้นท่านต้องคืนสิทธินั้นให้กับรัฐ เมื่อซื้อรถมาย่อมมีค่าใช้จ่ายตามมาอีกหลายรายการ เริ่มที่การผ่อนชำระต่อเดือน แต่ละรายอาจมีเงื่อนไขต่างกัน ขึ้นอยู่กับจำนวนซีซี รถแต่ละรุ่น จำนวนเงินดาวน์ การผ่อนชำระและอัตราดอกเบี้ยของลีสซิ่งที่เลือกไว้ ในส่วนนี้จะมีค่าใช้จ่ายระหว่าง 6,500-12,000 บาทต่อเดือน

ตามมาด้วยค่าน้ำมันขึ้นอยู่กับการใช้งาน หากใช้แค่ 100 ลิตรต่อเดือน รายจ่ายจะอยู่ที่ 3,000-4,000 บาทขึ้นไป และยังมีรายจ่ายอื่นขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละบุคคล เช่น ค่าทางด่วน ค่าที่จอดรถ ค่าล้างรถ

ถัดมาจะเป็นค่าใช้จ่ายประจำปี มีค่า พ.ร.บ.และค่าต่อทะเบียนต้องเตรียมเงินไว้ตั้งแต่ 1,500-2,500 บาท หากเป็นรถนั่งที่มีกระบะตรงนี้จะเสียภาษีสูงกว่ารถเก๋งมากกว่า 2 เท่าตัว จากนั้นมีเรื่องของค่าประกันภัย หากเลือกต่อชั้น 1 ต้องมีเงินเตรียมไว้ 10,000-20,000 บาท ต่อมาเป็นค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง ซึ่งไม่จำเป็นต้องครบปี เช่น ทางศูนย์รถยนต์กำหนดไว้ในการตรวจอุปกรณ์ต่างๆ ตามจำนวนระยะทางที่กำหนด เช่น 5,000 กิโลเมตร หรือ 10,000 กิโลเมตร และส่วนใหญ่จะมีการเปลี่ยนอุปกรณ์ต่างๆ ครั้งใหญ่เมื่อครบ 4 ปี หรือประมาณ 20,000 กิโลเมตร

ค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่ตามมาหลังจากรถคันแรกนั้นต้องมีไม่ต่ำกว่า 10,000-20,000 บาทต่อเดือนนั้น ไม่นับรวมภาระประจำปีอื่นๆ อีก จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ที่เพิ่งเริ่มทำงานใหม่จะมีรถไว้ในครอบครอง เว้นแต่มีผู้ค้ำประกัน เช่น ผู้ปกครอง แต่ถ้ามีผู้ที่เพิ่งเริ่มทำงานแล้วใช้สิทธิซื้อรถคันแรก โอกาสที่จะถูกยึดรถก็มีความเป็นไปได้สูง

ล่าสุดเบี้ยประกันภัยจะมีการปรับเพิ่มขึ้นอีก 10% และค่าทางด่วนจะปรับเพิ่มขึ้นอีก 5 บาท

แม้ว่ารัฐบาลจะคืนเงินให้ตามข้อตกลงเมื่อครบ 1 ปีตามอัตราที่กำหนดไว้ไม่เกิน 100,000 บาท คำถามที่ตามมาคือท่านจะประคองตัวให้ครบได้ 1 ปีหรือไม่ นอกจากนั้นยังต้องกลับไปดูที่มาของเงินดาวน์รถไม่ว่าจะเป็น 15% 20% หรือ 25% นั้นมาอย่างไร หากเป็นการ * * * ้ยืมมาก่อนเพื่อรอเงินที่รัฐจ่ายคืนมานั้นถือเป็นการ * * * ้ที่ไม่คุ้มค่า เพราะต้องแบกรับทั้งดอกเบี้ยและต้องผ่อนชำระเงินต้นในส่วนนี้อีกจะทำให้การดำรงชีพในแต่ละเดือนลำบากมากขึ้น


เขียนโดย   คุณ Social News
วันที่ 17 ก.พ. 2556 เวลา 06.29 น. [ IP : 125.26.126.100 ]
คลังคุยลิสซิ่งหวั่นหนี้เสียรถคันแรก
     รมช.คลัง สั่งกรมบัญชีกลางคุยบริษัทลิสซิ่ง หาทางออกผู้ซื้อรถคันแรกที่อาจจะผ่อนไม่ไหว แต่เชื่อว่ามีไม่ถึง 5%

นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง เปิดเผยว่า จะมอบนโยบายให้กรมบัญชีกลางไปเจรจากับบริษัทลิสซิ่งเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือประชาชนที่มีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถผ่อนชำระค่างวดรถยนต์ที่อยู่ในโครงการรถคันแรกได้ จนอาจต้องถูกยึดรถยนต์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีหลายฝ่ายแสดงความวิตกกังวลถึงความสามารถในการผ่อนชำระค่างวดรถยนต์ของประชาชนที่ได้สิทธิในโครงการรถคันแรกว่าอาจไม่ครบตามเกณฑ์ที่โครงการกำหนด และเมื่อถูกยึดรถยนต์แล้วก็อาจไม่สามารถส่งคืนเงินภาษีที่ได้รับไปก่อนหน้านี้คืนให้แก่รัฐได้



อย่างไรก็ตาม รมช. คลัง ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่พบสัญญาณบ่งชี้ที่มีนัยคัญว่าจะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวขึ้น ซึ่งหากเกิดปัญหาขึ้นจริงเชื่อว่าไม่น่าจะถึง 5% ของประชาชนที่ได้สิทธิ

ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า ปีนี้รัฐบาลจะคืนภาษีรถยนต์คันแรกให้กับประชาชนได้ 70% ของจำนวนผู้ใช้สิทธิ์ทั้งหมด 1.2 ล้านราย จากปัจจุบันที่คืนภาษีไปแล้ว 5 หมื่นราย คิดเป็นเงินประมาณ 4,000 ล้านบาท

สำหรับภาพรวมการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตในช่วง 4 เดือนแรก ของปีงบประมาณ 2556 (ต.ค. 55- ม.ค. 56) อยู่ที่ 1.57 แสนล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน ประมาณ 4.59 หมื่นล้านบาท หรือ 41.36% และสูงกว่าประมาณการ 2.11 หมื่นล้านบาท หรือ 15.58% โดยสินค้าที่จัดเก็บรายได้สูงสุด ได้แก่ ภาษีรถยนต์ 6 หมื่นล้านบาท ภาษีเบียร์ 2.6 หมื่นล้านบาท ภาษียาสูบ 2.15 หมื่นล้านบาท ภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน 2.14 หมื่นล้านบาท และภาษีสุรา 1.84 หมื่นล้านบาท




เขียนโดย   คุณ Social News
วันที่ 17 ก.พ. 2556 เวลา 14.49 น. [ IP : 125.26.126.100 ]


เขียนโดย   คุณ คน เต้าข่าว
วันที่ 19 ก.พ. 2556 เวลา 06.07 น. [ IP : 125.26.123.166 ]
รถคันแรกเริ่มออกลาย สรรพสามิตปูดเตรียมทวงเงินคืนจากผู้ทำผิดเงื่อนไข 10 ราย จากก่อนหน้านี้ไล่บี้มาแล้ว 4 ราย
    นายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมสรรพาสามิตแจ้งข้อมูลว่าขณะนี้ได้มีประชาชนที่ไม่สามารถถือครองรถยนต์ได้ในระยะเวลา 5 ปี ตามเงื่อนไขของโครงการรถคันแรก และได้มีการส่งคืนเงินภาษีที่ได้รับในช่วงก่อนหน้านั้นคืนมาแล้ว จำนวน 4 ราย
    นอกจากนี้ ยังมีอีก 10 ราย ที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลว่าไม่สามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของโครงการรถคันแรกได้ และอาจต้องมีการขอคืนเงินภาษีที่ได้รับไปก่อนหน้านี้ทั้ง 10 ราย โดยเบื้องต้นกรมสรรพสามิตจะเป็นผู้ดำเนินการก่อน หากไม่ได้ถึงส่งมาให้กรมบัญชีกลางฟ้องร้องเรียกเงินคืนต่อไป
    นายมนัสกล่าวอีกว่า กรมบัญชีกลางได้เร่งดำเนินการจ่ายเงินคืนให้แก่ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการรถคันแรกอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูล ณ วันที่ 5 ก.พ.2556 ได้มีการจ่ายเงินคืนให้กับประชาชนแล้วทั้งสิ้น 5.8 หมื่นราย คิดเป็นวงเงิน 4.2 พันล้านบาท
    โดยเบื้องต้นประเมินว่า ในปี 2556 จะใช้วงเงินในการดำเนินการจ่ายเงินคืนให้แก่ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการรถคันแรก ประมาณ 7.25 พันล้านบาท ซึ่งเป็นวงเงินที่ได้มีการประมาณการไว้ตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการ และจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ประสบปัญหาหรืออุปสรรคในการดำเนินการจ่ายคืนเงินแต่อย่างใด
    “ที่ผ่านมาการดำเนินการจ่ายเงินคืนให้แก่ประชาชนในโครงการรถคันแรกยังไม่มีปัญหา หลังจากที่ก่อนหน้านี้อาจจะมีติดขัดอยู่บ้าง แต่ก็ได้มีการบริหารจัดการให้เป็นระบบมากขึ้น ทำให้การดำเนินงานในขณะนี้เป็นไปอย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น” นายมนัสกล่าว
    ด้านนางสมณีย์ มงคลโภชน์ รองอธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ผู้ที่ได้สิทธิ์รถคันแรกและคืนเงินขณะนี้ พบว่าส่วนใหญ่ต้องการออกจากโครงการโดยสมัครใจ เพราะไม่ชอบรถที่ตัวเองซื้อมาใช้และต้องการขายเพื่อนำมาซื้อรถใหม่
    สำหรับอีก 10 ราย ที่ผิดเงื่อนไขอยู่ระหว่างการตรวจสอบ เบื้องต้นคาดว่าน่าจะผิดนัดชำระเงิน * * * ้ให้กับไฟแนนซ์ ซึ่งหากเป็นกรณีนี้ ทางไฟแนนซ์จะต้องยึดรถมาขายทอดตลาดก่อน และหากมีเงินส่วนเกินจากหนี้ที่ต้องชำระก็ให้นำส่งคืนให้กรมสรรพสามิต หากไม่ครบกรมสรรพสามิตก็ต้องทำหนังสือทวงให้มาชำระให้ครบ หากไม่มาก็ต้องส่งเรื่องให้กรมบัญชีกลางฟ้องร้องต่อไป
    นางสมณีย์กล่าวอีกว่า การผิดเงื่อนไขรถคันแรก และต้องคืนเงิน ประกอบด้วยต้องการออกจากโครงการเอง ผ่อนไฟแนนซ์ไม่ได้ เกิดอุบัติเหตุและเจ้าของรถไม่ต้องการใช้รถต่อ และรถสูญหายก่อน 5 ปี ก็ต้องคืนเงินให้กับกรมสรรพสามิตเช่นกัน
    สำหรับการผิดเงื่อนไขและไม่ต้องนำเงินมาคืน ประกอบด้วย 1.ได้รับเงินคืนแล้ว ถึงแก่กรรมก่อน 5 ปี แต่หากเสียชีวิตก่อน 1 ปี ที่จะได้เงินคืนจะไม่ได้สิทธิ์คืนเงิน 2.โอนสิทธิ์ให้ลีสซิ่ง ข้ามไฟแนนซ์ และ 3.รีไฟแนนซ์ ยังเป็นชื่อของตัวเองไม่เสียสิทธิ์
    ก่อนหน้านี้ นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมสรรพสามิตได้เตรียมหาแนวทางปฏิบัติไว้รองรับในกรณีที่มีผู้ใช้สิทธิ์คืนเงินรถคันแรกไม่สามารถผ่อนชำระค่างวดได้จนกระทั่งถูกยึดรถ โดยที่ผ่านมาได้ตั้งนายจุมพล ริมสาคร รองอธิบดี รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี เป็นหัวหน้าคณะทำงานประสานงานร่วมกับบริษัทเช่าซื้อ ซึ่งจะอัพเดตข้อมูลทุกเดือน
    แหล่งข่าวจากกรมสรรพสามิตกล่าวยอมรับว่า หากมีการยึดรถเกิดขึ้น จะทำให้รัฐเสียประโยชน์ เพราะเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดจะคืนให้บริษัทเช่าซื้อก่อน ขณะเดียวกันการที่ภาครัฐต้องไปฟ้องร้องเรียกเงินคืนเองก็อาจจะไม่คุ้มค่านัก เพราะค่าเสียหายรายละไม่เกิน 1 แสนบาท.
http://www.thaipost.net/news/040313/70389

เขียนโดย   คุณ คน เต้าข่าว
วันที่ 4 มี.ค. 2556 เวลา 06.26 น. [ IP : 125.26.112.32 ]
ยังงง!!! สรรพสามิตยันตายก่อนครองรถไม่ถึง 1ปี ต้องคืนเงินรถคันแรก
วานนี้ (20 มี.ค.) สรรพสามิต ยันตายก่อนที่ครอบครองรถไม่ถึง 1ปี ต้องคืนเงินรถคันแรก พร้อมดอกเบี้ยทุกกรณี เหตุผิดเงื่อนไขสัญยา แต่หากตายไปหลังครอบครองรถเกิน 1ปี ยังได้รับสิทธิ์ในโครงการรถยนต์คันแรกไม่ต้องนำเงินภาษีคืนกรมสรรพสามิต เพราะถือเป็นสิทธิ์เฉพาะตัวที่พึงได้

          หลังจากมีประชาชนคนอ่างทอง ออกมาร้องเรียนความเป็นธรรมหลังถูกเรียกคืนเงินรถคันแรก พร้อมดอกเบี้ย เนื่องจากสามีผู้ไปขอใช้สิทธิเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน ก่อนที่อธิบดีกรมสรรพสามิต จะออกมาระบุว่าไม่ต้องเสียเงินจำนวนดังกล่าวเนื่องจากไม่ผิดเงื่อนไข ไม่ได้ขายไปก่อน 5ปี ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

          นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต ก็ได้ออกมาตอบถึงข้อสงสัยว่าเงื่อนไขรถคันแรก ห้ามตายด้วยใช่หรือไม่นั้น ว่า ผู้ที่เข้าร่วมโครงการรถยนต์คันแรก และเสียชีวิต หลังจากการได้รับคืนภาษี หรือ ครอบครองรถเกิน 1 ปี จะยังได้รับสิทธิ์ในโครงการรถยนต์คันแรกไม่ต้องนำเงินภาษีคืนกรมสรรพสามิต เพราะถือเป็นสิทธิ์เฉพาะตัวที่พึงได้

          แต่หากผู้มีสิทธิ์เสียชีวิตก่อนครอบครองรถยนต์ครบ 1 ปี ญาติผู้เสียชีวิตต้องนำเงินมาคืนให้กรมสรรพสามิต ภายใน 15 วัน หลังจากที่ได้รับเงินไป หากไม่คืน ผู้ใช้สิทธิ์จะต้องชำระดอกเบี้ยปีละ 15% นับตั้งแต่วันครบกำหนดคืนเงินจนกว่าชำระคืนให้ครบถ้วน ตามที่ใบคำขอใช้สิทธิ์และเงื่อนไขสำหรับรถยนต์ใหม่คันแรก

ที่มา//http://www.tnews.co.th-คอลัมส์ สังคม/อาชญากรรม

เขียนโดย   คุณ คน เต้าข่าว
วันที่ 21 มี.ค. 2556 เวลา 10.55 น. [ IP : 125.26.122.91 ]

รถคันแรก แจกหนี้ ตอบโจทย์ผู้ซื้อได้จริงหรือไม่
ชมที่ลิงค์ =>>> http://www.youtube.com/watch?v=F74jLS1LUnY

ถลุงเงินคงคลังเพื่อรถคันแรก
โดย...เกียรติศักดิ์ ผิวเกลี้ยง

“โครงการรถคันแรก” เป็นหนึ่งในโครงการประชานิยมที่รัฐบาลใช้เป็นไม้เด็ดหาเสียงจนชนะเลือกตั้งถล่มทลาย

เมื่อดีเดย์เปิดตัวรถคันแรกปลายปี 2554 รัฐบาลตั้งเป้ามีผู้มาใช้สิทธิ 5 แสนคัน เป็นเงินที่ต้องจ่ายคืน 3 หมื่นล้านบาท แต่จังหวะไม่ดีเจอน้ำท่วมใหญ่เสียก่อน ประชาชนเลยหมดอารมณ์ซื้อ ส่วนผู้ผลิตรถก็เจอน้ำท่วมโรงงานเสียหายยับเยิน ส่งผลให้โครงการรถคันแรกหมดความขลังไปชั่วขณะ

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็ไม่ยอมให้รถคันแรกเป็นประชานิยมที่ล้มเหลว มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขขยายเวลาการส่งมอบรถ ให้ใช้ใบจองมาขอใช้สิทธิได้ก่อนและรับรถได้ในภายหลัง ทำให้โครงการกลับมาคึกคักยอดใช้สิทธิเมื่อปิดโครงการเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2555 พุ่งสูงถึง 1.25 ล้านคัน เป็นเงินที่ต้องจ่ายคืนถึง 9.1 หมื่นล้านบาท

จากตัวเลขผู้ใช้สิทธิสูงกว่าเป้าถึง 2 เท่า และเงินที่ต้องจ่ายคืนมากกว่าที่ประเมิน 3 เท่า รัฐบาลยังประกาศเต็มปากว่าโครงการนี้ประสบความสำเร็จ

ว่าไปแล้ว โครงการรถคันแรกมีผลดีหลายอย่างที่เกิดขึ้นทันตาเห็น คือ ผู้ซื้อรถยนต์ได้รถราคาถูก เพราะมีการคืนเงินเท่ากับจำนวนภาษีสรรพสามิตที่รถยนต์คันนั้นต้องเสีย แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท

ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการรถยนต์ฟื้นตัวจากน้ำท่วมอย่างรวดเร็ว ยอดการผลิตเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ฟันรายได้และกำไรเข้ากระเป๋าชื่นบานกันทั่วหน้า

ในแง่ของรัฐบาลเอง การที่มีการซื้อขายรถเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ทำให้รายได้ของประเทศเพิ่มขึ้น กรมสรรพสามิตเก็บภาษีรถยนต์มากกว่าเป้าเป็นเท่าตัว ทำให้การเก็บภาษีภาพรวมในปี 2555 ที่ผ่านมาสูงกว่าเป้าหลายหมื่นล้านบาท ทั้งที่ต้องเสียรายได้จากการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน

ขณะที่กรมสรรพากรเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้มากขึ้น รวมถึงภาษีกำไรจากผู้ผลิตรถยนต์ ทำให้กรมสรรพากรตีตื้นเก็บรายได้ในปีที่ผ่านมาต่ำกว่าเป้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากการลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% ทำให้เสียรายได้ไปกว่า 1.5 แสนล้านบาท

ในแง่เศรษฐกิจภาพรวม โครงการรถคันแรกมีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่น้อย อย่างน้อยก็มีส่วนสำคัญส่วนหนึ่งทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจปีที่ผ่านมาขยายตัวได้ถึง 6.4% ต่อปี จากที่ประเมินไว้เดิม 5.5% เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม โครงการรถยนต์ก็มีผลกระทบด้านลบไม่น้อย ที่เห็นเป็นอันดับแรก กระตุ้นให้หนี้ภาคครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นภัยร้ายแรงคุกคามเศรษฐกิจในอนาคตอันใกล้ หากไม่ระวังการก่อหนี้ของภาคประชาชนท่ามกลางภาวะที่เศรษฐกิจผันผวนอย่างมากในขณะนี้

เรื่องหนี้ภาคครัวเรือน เป็นเรื่องที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาเตือนอย่างต่อเนื่องว่ามีสัญญาณที่ไม่ดี และหนี้ที่เพิ่มขึ้นมาจากโครงการประชานิยมของรัฐบาล ที่เร่งให้คนใช้จ่าย ไม่สนใจเรื่องการออมเท่าที่ควร ซึ่งทำให้รัฐบาลไม่พอใจ ธปท.ที่ออกมาให้ความเห็นแทงใจดำอยู่ตลอด

ผลกระทบใหญ่ที่รัฐบาลไม่คิดและกำลังเกิดขึ้น คือ เงินที่จะนำมาจ่ายคืนให้กับผู้ที่ได้สิทธิที่มีปัญหาชักหน้าไม่ถึงหลังในขณะนี้

รัฐบาลตั้งงบประมาณปี 2556 เพื่อมาจ่ายคืนให้ผู้ได้สิทธิเพียง 7,250 ล้านบาทเท่านั้น ขณะที่ผู้ใช้สิทธิจริงมีถึงกว่า 9 หมื่นราย เป็นเงินที่ต้องจ่ายคืนถึง 3.8 หมื่นล้านบาท โดยรัฐบาลจ่ายคืนผู้ได้สิทธิถึงเดือน มี.ค. 2556 มีเงินเหลือแค่ 300 ล้านบาท แค่ผู้ได้สิทธิคืนเงินในเดือน เม.ย. 2556 ก็ไม่พอจ่ายแล้ว ไม่ต้องนึกถึงเดือนอื่นที่เหลืออีกหลายเดือน

ภาวะเช่นนี้ รัฐบาลปฏิเสธไม่ได้ว่าโครงการรถคันแรกถังแตก เงินไม่มีจ่าย เพราะขนาด มนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง ยังออกมายอมรับว่าไม่รู้ว่าจะเอาเงินจากไหนมาจ่าย เพราะต้องใช้เงินจ่ายผู้ได้สิทธิจนถึงสิ้นปีงบประมาณ 2556 หรือสิ้นเดือน ก.ย. ปีนี้ถึง 3.1 หมื่นล้านบาท

ที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะสำนักงบประมาณปฏิเสธกระทรวงการคลัง ที่ขอให้จัดสรรงบกลางมาจ่ายคืนผู้มีสิทธิได้รถคันแรกในส่วนที่เหลือปีงบประมาณ 2556 ทั้งหมด โดยสำนักงบประมาณให้เหตุผลว่า งบกลางเป็นงบของนายกรัฐมนตรี ต้องเก็บไว้ใช้ในโครงการอื่นๆ

เมื่อเป็นเช่นนั้น โครงการรถคันแรกก็ถูกลอยแพจากรัฐบาลกลายๆ เพราะการใช้งบกลางถึง 3.1 หมื่นล้านบาท ทำให้ฝ่ายการเมืองไม่ได้ประโยชน์อะไร เมื่อเทียบกับการนำเงินดังกล่าวไปทำโครงการให้ผู้รับเหมาที่ใกล้ชิดฝ่ายการเมือง ทำให้นักการเมืองทั้งนายใหญ่ นายเล็ก ได้ค่าน้ำร้อนน้ำชา ค่าหัวคิว จากการอนุมัติโครงการ 3050% ดีกว่ากันเยอะเลย

เมื่อมาถึงทางตัน ทำให้กระทรวงการคลังต้องพาโครงการรถคันแรกแหกโค้ง ดอดเงียบมาใช้เงินคงคลังจ่ายคืนผู้ได้สิทธิไปก่อน โดยปล่อยให้ข้าราชการคลังรับหน้าเสื่อไปดำเนินการ ส่วนฝ่ายการเมืองก็มีทั้งชิ่งและลอยตัว เพราะไม่ต้องการเอาเผือกร้อนมาไว้กับตัว

ทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง ที่กำกับดูแลกรมสรรพสามิต และเดินหน้าผลักดันโครงการรถคันแรก โยนให้กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะล้วงเงินคงคลังมาจ่ายคืนรถคันแรก

ขณะที่ กิตติรัตน์ ยืนกระต่ายขาเดียวว่ารถคันแรกไม่ใช่โครงการประชานิยม และไม่ได้ทำให้รัฐเสียหาย ก็ยังเก็บตัวเงียบเพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถามว่าเงินที่จ่ายคืนรถคันแรกจะมาจากที่ไหน

สุดท้ายเรื่องนี้ก็มาตกหนักที่ข้าราชการประจำ ต้องมาตามเก็บกวาดโครงการรถคันแรกของรัฐบาล โดยการไปหาเหตุผลแบบสีข้างเข้าถูเพื่อไปนำเงินคงคลังมาจ่ายคืนรถคันแรกให้ได้

อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหารถคันแรกดังกล่าวเป็นการแก้ผ้าเอาหน้ารอด เพราะการใช้เงินคงคลังมีการปรับปรุงกฎหมายว่า เมื่อนำเงินคงคลังไปใช้ ในปีงบประมาณต่อไปต้องมีการตั้งงบมาใช้คืน เพื่อรักษาวินัยการเงินการคลัง ป้องกันนักการเมืองมักง่าย ที่นึกว่าเงินคงคลังเป็นโรงพิมพ์แบงก์ใช้แล้วไม่ต้องจ่ายคืน

เมื่อเป็นเช่นนี้ ภาระงบประมาณปี 2557 จะมีปัญหาอย่างมาก เพราะรัฐบาลต้องตั้งงบประมาณมาคืนเงินคงคลังถึง 3.1 หมื่นล้านบาท ที่จะนำออกไปจ่าย

นอกจากนี้ยังมีภาระที่ต้องจ่ายคืนให้กับผู้ที่ได้สิทธิส่วนที่เหลือ 5.3 หมื่นล้านบาท พูดง่ายๆ คือ ภาระต้องจ่ายคืนรถคันแรกทั้ง 9.1 หมื่นล้านบาท จะตกอยู่ในปีงบประมาณ 2557

ภาระที่มากขนาดนั้น ทำให้งบประมาณปี 2557 ที่ยังต้องเป็นงบประมาณแบบขาดดุล มีแนวโน้มสูงว่าต้องขาดดุลมากขึ้น เพื่อ * * * ้เงินมาจ่ายคืนรถคันแรก ทำให้หนี้สินของประเทศสูงขึ้น สร้างความเสี่ยงให้กับเศรษฐกิจไทยมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

โครงการรถคันแรก ไม่ใช่โครงการประชานิยมแรก ที่รัฐบาลคิดแบบหยาบๆ หวังแต่คะแนนเสียง เพื่อให้ชนะการเลือกตั้ง โดยที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจของประเทศ

โครงการรับจำนำข้าวตันละ 1.5 หมื่นล้านบาท ใช้เงิน * * * ้ไป 5 แสนล้านบาท สร้างความเสียหายปีละกว่าแสนล้านบาท ข้าวไทยไม่มีคุณภาพ การส่งออกข้าวมีปัญหา ไม่ต้องพูดถึงการระบายข้าวที่ทำมากแค่ไหนรัฐขาดทุนเท่านั้น แต่คนที่เกี่ยวข้องมีแต่รวยขึ้น สุดท้ายผู้เสียภาษีก็ต้องใช้หนี้ให้รัฐบาล

การออก พ.ร.บ. * * * ้เงิน 2 ล้านล้านบาท ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่ง โดยอ้างว่าจำเป็นต้องให้มีการลงทุนต่อเนื่อง แต่สร้างภาระหนี้ให้คนไทยกว่าจะใช้หมดภายใน 50 ปี ที่รัฐบาลวาดฝันแล้ว รวมทั้งต้นและดอกเบี้ยเป็นภาระสูงถึง 5 ล้านล้านบาท

มาถึง ณ ขณะนี้ โครงการรถคันแรกกำลังสร้างภาระหนี้ให้กับคนไทยอีก 9 หมื่นล้านบาท เพราะไม่ว่ารัฐบาลจะตัดใบบัวมาปิดโครงการเน่าแบบนี้มากแค่ไหนก็ปิดไม่มิด เพราะสุดท้ายก็หนีไม่พ้นต้อง * * * ้เงินมาจ่ายอยู่ดี

ทั้งนโยบายรถคันแรก และจำนำข้าว จะถูกนำมายกตัวอย่างการละลายเงินงบประมาณซึ่งเป็นภาษีของประชาชนอย่างไร้ประสิทธิภาพ ในการอภิปรายร่าง พ.ร.บ. * * * ้เงิน 2 ล้านล้านบาท ในสภาวันที่ 28 มี.ค.นี้ แน่นอน

http://www.posttoday.com/วิเคราะห์/เศรษฐกิจ วันที่ 27 มีนาคม 2556 เวลา 08:46 น.

เขียนโดย   คุณ คน เต้าข่าว
วันที่ 31 มี.ค. 2556 เวลา 11.03 น. [ IP : 125.26.113.181 ]
     
: รายละเอียด  
 
: แนบไฟล์   เลือกไฟล์ 
 
: ชื่อผู้เขียน  
 
 
 
(1)    
 
 
 
รับเรื่องราวร้องเรียน
โทร : 092-392-1119